เกี่ยวกับคนเขียน
Naowarat

ความรู้

ความรู้

ถ้าคิดจะโต ก็ต้องโตแบบ Lean ไม่ใช่เทอะทะ แต่ไร้ผลลัพธ์ อีกครั้งที่ได้มีโอกาสทบทวนและส่งต่อแนวคิด การสร้างธุรกิจเอเจนท์อสังหาริมทรัพย์ให้ผู้นำรุ่นใหม่

Naowarat
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 23 กันยายน 2566 17:05
ทำมาสักพัก เอเจนส่วนใหญ่ก็อยากออกจาก comfort zone เดิมๆ ที่มีคนป้อน lead ให้ทุกเดือน ที่ไปได้ไกลสุดคือ ตำแหน่ง Top Producers ในบริษัท หรืออาจได้รับการ offer เป็น Team lead ในบางที่
การที่จะเติบโตไปในเส้นทาง Cooperate ladder มันอาจจะไม่ใช่ฝันของทุกคน โดยเฉพาะ คนที่ไม่ชอบ “รับคำสั่ง” แบบผู้เขียน …คือ…สั่งน่ะสั่งได้ แต่ไม่ทำ…ฮ่าๆ

ใครเป็นพวกเดียวกัน ก็จงภูมิใจในความ “อินดี้” ขั้นสุดของตนเอง และลงมือรับผิดชอบทั้งหมดซะ เพราะการเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่แค่งาน “ขาย” ของที่เราถนัดอย่างเดียว

และที่เราเคยบ่นด่าแผนกไหนว่าช้าอืดอาด ทำให้ค่าคอมมิชชั่นออกช้า ก็ได้เวลามาปลุกปั้น สร้างสรรค์เองแล้ว ซึ่งตอนนี้ เราบ่นใครไม่ได้แล้วนะ

เพราะการเปิดบริษัท มันหมายรวมถึง
1. การบริหารจัดการธุรการ บัญชี ภาษี
มา เรามากินกบตัวแรกกัน 🙂

ตั้งแต่เอกสารจดทะเบียนบริษัท ผู้ถือหุ้น จะจดแบบไหน ตอนไหน ต้องทำการบ้านเองให้ดี ถามคนอื่นได้แต่ก็ต้องเรียนรู้มาด้วย เพราะถามผู้เชี่ยวชาญบัญชีและภาษีแบบที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร มันเสียเวลาเราและคนที่มาช่วยอย่างมาก

คุณต้องรู้ตั้งแต่สัญญาเช่าออฟฟิศฉบับแรก เงินก้อนแรกในบัญชี อะไรที่หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ หรือไม่ได้ เก็บเอกสารอย่างไร การมีพนักงานบัญชีมาช่วยเป็นเรื่องจำเป็น แต่คุณต้องมีความรู้เรื่องภาษี รู้จักเอกสารการบันทึก ที่ต้องทำให้ถูกต้องควบคู่กับกระบวนการทำงาน

จะขาย จะเช่า จะทำบริหารการเช่า เอกสารรับจ่าย เงินจอง ต้องสอดคล้องกัน เงินจะเข้ามาลอยๆ ออกไปลอยๆ ไม่มีหลักฐานไม่ได้ จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นตัวเอง ให้สะดวกสบายเหมือนบัญชีส่วนตัว ไม่ได้อีกต่อไป ซื้อสินค้าบริการต้องมีใบกำกับภาษี หัก WHT

บัญชีที่จ้างมาช่วย ก็ช่วยได้ล่ะ แต่ถ้าเขาทำพลาด มันเป็นบริษัทของคุณ คุณต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าคิดจะเติบโต ปลอดภัย และใช้ประโยชน์จากสิทธิทางภาษีของบริษัท

อย่าส่ง “งบเปล่า” เพราะสรรพากรสมัยนี้ใช้ Big Data ยังไงคุณก็ไม่รอด ที่ลงโฆษณาขายบ้าน เช่าบ้านน่ะ มันเป็นสาธารณะ นะจ๊ะ ไม่ใช่ตลาดมืด ทำแล้ว กรุณาทำให้ถูกต้องด้วย เพราะพี่เขารู้ค่ะ
2. การตลาด และการขาย
การตลาด มาก่อนการขาย และเอเจนส่วนใหญ่ทำไม่เป็น

วันนี้ไม่ใช่เราตัวคนเดียวอีกต่อไป ทุกคนที่ช่วยเหลือเราเบื้องหลัง เราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้เขาทุกเดือน เราต้องมองให้ไกลๆ จะขี้เกียจ จะคิดมักง่าย สั้นๆ จะมีหรือไม่มี lead ก็ช่างมันไม่ได้แล้ว

ซึ่งการตลาดก็ไม่สามารถจะเอาง่ายๆ rely on web portals อย่างเดียวได้อีกต่อไป เนื่องจากราคา และการแข่งขัน ที่เหลือพื้นที่ให้คนใหม่ เจ้าเล็กๆ น้อยลงทุกที

จะสร้างบริษัทให้เป็นอย่างไรในอีก สิบปีข้างหน้า ต้องเอาวิสัยทัศน์นั้นมาลงสู่การประกาศออกไปให้โลกรู้ ด้วยแผนกลยุทธ์ ที่มาพร้อม Branding, PR, Marketing Online and Offline ซึ่งต้องสามารถวัดผล และเชื่อมต่อกับ Pipeline การขายได้อย่างราบรื่น

ลงทุนการตลาดไปเท่าไหร่ มีการรับรู้ engagement กลับมาเท่าไหร่ วัดอย่างไร ทำนัดและปิดขายได้ไหม เท่าไหร่ ต้องเรียนรู้ และวางแผนให้จบ จนถึงตอนที่เงิน Net income เข้ามาในบัญชีจริงๆ

แต่ถ้าใครมั่นใจว่า เปิดบริษัทมา หนูอยู่ได้เพราะลูกค้ารีเฟอร์ เดือนละ 4-5 เจ้า ก็เอาเลยค่ะ ถ้ามาเดือนละ 4-5 ราย ปิดได้เดือนละ 1-2 เคส และ รายได้ เกินสองแสน ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายแล้วก็ยินดีด้วย แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ

แนะนำให้เขียน และคำนวณออกมาค่ะ ว่า “รอด” จริงไหม? อย่าลืม ภาษีด้วยล่ะที่รัก

ในข้อนี้ Super sale ทั้งหลาย ที่เคยบ่นบริษัทว่า lead ไม่ดี ลูกค้าห่วย การตลาดแย่ ก็ได้โอกาสโชว์ฝีมือ Leads generation เองแล้วล่ะค่ะ

ถึงจะทำน้อย ทำมาก ทำแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว คุณก็เจ๊งเอง เจ็บเอง ไม่มีใครให้บ่น หรือซับเลือด ซับน้ำตาให้อีกต่อไปแล้ว และโชคดีนะจ๊ะ เพราะเดี๋ยวคุณก็เก่ง หรือไม่ก็เลิกทำไปเองนั่นแหละ
3. เทคโนโลยี
เวปไซต์ และ CRM เป็นเรื่องสำคัญ จะคิดแต่ประหยัดและไม่อยากยุ่งยากโดยใช้เฟซบุคเพจตลอดไปได้หรือ? วันนึงโดนปิดเพจขึ้นมา จะหากินอย่างไร?

มีลูกค้าเป็นหมื่น แต่กลับไปดูประวัติ เพื่อชวนกลับมาซื้อรอบสองไม่ได้เลย เพราะไม่มีการเก็บและบริหารข้อมูลที่ดีพอ อะไรๆก็ซุกไว้ในไลน์แชท มั่วๆ ขาดๆ หายๆ ชื่อ นามสกุล อีเมล์ เบอร์โทร ไม่เคยครบ แล้วมันจะมีมูลค่าอะไร?

เอเจนบางคนอาการหนักกว่าผู้เขียนซึ่งเป็นป้า Gen X อายุเกือบห้าสิบอีก เพราะไม่รู้จัก แม้กระทั่ง Google Doc และหนูทำ Excel ก็ไม่เป็น ซึ่งป้าก็แนะนำให้กลับไปเรียนนะคะ เพราะถ้ามีข้ออ้างว่า “ไม่มีเวลาเรียนค่ะ” ก็จบข่าว

เนื่องจากการเข้านอนตีสอง หรือต้องตื่นตีสี่มาเรียนหนังสือในเรื่องที่ต้องเรียน มันก็เป็นเรื่องปกติของเจ้าของกิจการค่ะ ไม่ทัน ก็ต้องทัน ทำไม่ได้ ก็ต้องได้ Work life balance มาได้หลังจากทำงานได้แล้วตามแผน และเหยียบแล้วสุดตรีนน ค่ะ

ถ้ายังมีหลบเร้น หมกเม็ด อย่าเพิ่งสปอยล์ตัวเอง มันจะเสียงาน และเสียนิสัย

เราไม่มีเวลามากนักหรอกค่ะ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่เราต้อง จัดเวลาได้ ให้กับเรื่องที่จำเป็น

เวปไซต์ ควรสะท้อนวิสัยทัศน์และแกนหลักธุรกิจ อย่าใช้แค่เป็นที่โชว์ทรัพย์ หรือเอาไว้ฟีดเข้าเวปโฆษณาอย่างเดียว โลกปัจจุบัน คนโหยหาการเชื่อมต่อกับมนุษย์ เราเริ่มธุรกิจใหม่ๆ หน้าเจ้าของแบรนด์ ควรถูกนำมาแปะบนเวปไซต์ด้วย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ ว่าเขาค้าขายกับคนๆนี้อยู่นะ

โดยเฉพาะธุรกิจการเป็นคนกลางอย่างเรา ที่ชื่อเสียงค่อนข้างหมิ่นเหม่ และน้อยคนนัก ที่กล้าเอาหน้าตัวเองออกมารับลูกค้า

SEO, SEM, Chat Bot, API, Pixel and การเชื่อมเวปไซต์เข้ากับ CRM, Appointment calendar, Marketing ads ต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องรู้ (นี่แค่เบาะๆนะ)

การจะผลักภาระไปให้ Web developer หรือ Tech support อย่างเดียวโดยที่เจ้าของไม่รู้อะไรเลย ก็จะใช้งานพวกเขาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มันเสียโอกาส เหมือนมีเฟอร์รารี แต่กลับขึ้นไปนั่งขี่แบบจักรยาน

เครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆมีมากมายที่จะช่วยให้งานง่ายขึ้น และเจ้าของต้องเรียนรู้ เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ได้
4. คน หรือ ทีมงาน
แหม่ เอาไว้เรื่องสุดท้ายเลย เพราะยากสุด และอาจจะได้ขยายเรื่องนี้อีกในโพสต์ต่อๆไป

ทำไมคนมาท้ายสุด? เพราะระบบควรแข็งแรงพอที่จะรองรับคนได้ก่อน จึงจ้างประจำ หรือ recruit agent เข้ามา

อย่าจ้างเพราะคิดว่าแค่อยากได้ทีมใหญ่ ฟีดอีโก้ตัวเองให้บวม แต่ช่วยทีมงานไม่ได้

อย่าคิดแค่ว่าจ้างคนเก่งแล้วจะให้เขาทำแทนเราในเรื่องยากๆ เพราะเราต้องเป็นผู้นำเขา ไม่ใช่ให้เขานำเรา คุณอาจเก่งไม่เท่า specialist หรอก

แต่ต้องรู้มากพอที่จะใช้งานเขาได้ และมองได้ไกลกว่าเขา และถึงจะมีเอเจนที่เป็น Commission base คุณก็ต้องรู้จริตความเป็นเอเจน รู้วิธีบริหารความสามารถของเขา และเทรนเขาได้

คุณไม่ใช่ Super Sale อีกต่อไป เพราะคุณคือผู้นำ

เจ้าของบริษัทที่เริ่มแบบ Solo Entrepreneur หรือแบ่งงานจากทีม founders เอา Operation มาดูแล ก็ต้องทดสอบระบบโดยเอาตัวเองเข้าไปทำตาม Workflow ทั้งขั้นตอนปฏิบัติการ การใช้เทคโนโลยีและการบันทึกต่างๆให้คล่อง ให้ครบถ้วน มีผลลัพธ์ก่อน

ให้สามารถ set standard ได้ว่า เอเจนมีประสบการณ์ 4 ปี เกิดผลลัพธ มีการขายได้ภายในเวลากี่วัน ใช้กี่ Lead แบบไหน ทดสอบระบบให้รู้ว่าเทคโนโลยีที่บริษัทมีทำให้เขาทำงานได้เร็วขึ้นไหม หรือสับสนจนทำให้ช้าลง

ควรจะรู้ได้ว่า เอเจน 1 คน สามารถสร้าง ROI ได้เท่าไหร่ ควรจะ recruit เอเจนที่มีคุณลักษณะไหนมาอยู่ด้วย ให้เข้ากับวัฒนธรรมและระบบ

ถ้าเจอคนเก่งๆอยากมาอยู่ด้วย ทุนที่มี และข้อเสนอที่เขาต้องการ เรา effort เขาไหวไหม?

หรือถ้าจะเทรนคนใหม่ จะไปหามาจากไหน ระบบการเทรนเป็นอย่างไร วัดผลอย่างไร

เพราะคนหนึ่งคน มาพร้อมค่าใช้จ่าย

และอะไรที่วัดผลไม่ได้ มันเติบโตไม่ได้ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอารมณ์หรือความชอบส่วนบุคคลนะ
นี่แค่ช่วง Set up และมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวใหม่ๆที่ต้องเรียนรู้ บันทึก การออกแบบระบบ การตรวจสอบ วัดผล ซึ่งถ้าเป็นเอเจนแบบ “Sale” จ๋าๆ ไม่ชอบเรื่องระบบ และบริหาร

คุณก็ต้องชั่งให้ดีก่อนกระโดดเข้ามา เพราะช่วง set up รายได้คุณหายแน่ๆ หายหลายเดือนด้วย คิดวางแผนเรื่อง sustain รายได้ตัวเอง โดยใช้หลัก 20:80 จนกว่าจะได้ระบบ และมีคนมาอยู่ในระบบที่ผ่อนแรง ขยายตัวได้
ถ้าโต ก็ต้องโตแบบ Lean ไม่ใช่เทอะทะ แต่ไร้ผลลัพธ์
โพสต์นี้ยาวมากแล้ว ยังไม่ได้ครอบคลุมเรื่อง USP : Unique Selling Points ของบริษัท แต่ใครอยากโตอย่างแข็งแรง ก็ไปหาอ่านเอานะคะ เจาะให้ลึกถึง DNA ธุรกิจว่า”ทำไม ลูกค้าต้องเลือกคุณ”

พักผ่อนบ้างนะ โชคดีค่ะทุกคน

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม