เกี่ยวกับคนเขียน
Naowarat

ความรู้

ความรู้

🔥 การทำตัวเป็นเอเจนท์อสังหาฯยุค Analog แบบไดโน(เสา)โทรเลข ไม่คิดใหม่ ทำใหม่ กำลังจะถูกปั่นให้หลุดหายจากระบบไปอย่างรวดเร็ว

Naowarat
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 26 พฤษภาคม 2567 12:16
โลกยุคปัจจุบันหมุนเร็ว และแพงสุดๆไปเลย
การจะยืนอยู่ เป็น Boutique agency หรือทีมเอเจนขนาดเล็ก ที่แข็งแรง สามารถยืนหยัดในมหาสมุทรที่มีปลาวาฬ สารพัดดิจิตอลแพลตฟอร์มอสังหาฯได้ ก็ต้องมี ”ของ“ พอตัวทีเดียว
”ของ“ ที่หมายถึง นอกจากความรู้วิชาชีพ ความรู้ในการมีและสร้าง connection ที่ไม่รู้จบ ความเป็นผู้นำ ความเร็วในการปรับตัว ความรู้ในการตลาดดิจิตอล การใช้เทคโนโลยีแล้ว ก็ยังต้องมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ และ “ความเชื่อ” ที่แข็งแกร่งด้วย

เมื่อคืนไป Networking event ได้มีโอกาสแชร์ข้อมูลกับเพื่อนเอเจน เรื่องการทำ Lead generation พบว่าต้นทุนต่อ Lead อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ทั้งเช่า ทั้งขาย (lead คือ ชื่อ เบอร์โทร อีเมล์)

ตัวเลขไม่หนีกันเลยทั้งบริษัทใหญ่ เล็ก แต่บริษัทขนาดใหญ่นั้นสามารถ assign leads ให้เอเจนใหม่ๆ ได้ 30 leads ต่อเดือน มี KPI ให้ convert เป็นรายได้คอมมิชชั่นอย่างน้อย 50,000 บาท ซึ่งก็ make sense เพราะลงทุนให้ 30,000 บาท ถ้าเอเจนเอาไป convert เป็นคอมมิชชั่นไม่ได้ตามเป้า ก็สามารถพิจารณาตัวเอง แล้วไปมองหางานอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองโดยไม่ต้อง stuck อยู่กับความสงสัยในตัวเองยาวนานนัก
แต่เกมส์ที่ใช้เงินทุนมากขนาดนี้ ไม่ใช่เกมส์ของ Boutique agency น่ะสิ
ทีมขนาดเล็ก หรือ Boutique agency ที่กล่าวถึง จะเน้นงานขาย เน้นการให้บริการที่ใกล้ชิดผู้ซื้อ ผู้ขายมากกว่า เอเจนในทีมที่มีทักษะการขายสูงกว่า รับ Assign lead ผู้ซื้อ ผู้ขาย 2-3 leads ต่อสัปดาห์ เพื่อเอาไปทำงานด้วย อัตราการ convert เป็น sale เป็น exclusive listing อาจจะสูงกว่า

แต่ใช้เวลาจนกระทั่งรับคอมมิชชั่น “นาน” กว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำทั้ง ขาย เช่า และมีจำนวนคนมากกว่า

ค่าต้นทุนหาลูกค้า ให้เอเจน 1 คน อย่างน้อยๆ ในบริษัทขนาดเล็ก ต้องมีเดือนละเกือบ หนึ่งหมื่นบาท มีสิบคนก็เป็นแสน ยังไม่รวมค่าออฟฟิศ สำนักงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จิปาถะ ถ้าสายป่านไม่ยาวพอ รายได้มาช้ากว่ารายจ่าย เจอช่วงได้เอเจนคุณภาพไม่ดีมาร่วมทีม ก็อาจทำให้ขาดสภาพคล่องได้

แต่ในร้อยคน จะเจอ Rockstar agent ที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง สม่ำเสมอ ในการพัฒนาตนเอง กี่คน?

กว่าจะได้คนเก่ง เจ้าของ Boutique agency จะมีต้นทุนเจียระไนเพชร ที่สามารถให้คนในทีม Learning and Fail ได้นานแค่ไหน กว่าเขาจะมีรายได้สม่ำเสมอ และยินดีอยู่กับบริษัทได้ในระยะยาว
เฮ้อ! แค่คิดก็ depress ไปเลยน่ะสิ จะเอาอะไรไปสู้เขา?
จริงอยู่ที่....

Grab อาจจะ Disrupt ตลาดรถแท๊กซี่ มอเตอร์ไซค์วิน ที่บริการไม่ดี และแพง ไม่คุ้มค่า

แต่ในตลาด ก็ยังมีบริการรถโดยสารสาธารณะอีกหลายรูปแบบที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจ และเติบโตได้ในแบบของตัวเอง โดยไม่เป็นคู่แข่งโดยตรง หรือมีขนาดใหญ่เท่า Grab

Starbucks อาจเป็นแบรนด์กาแฟที่มีคนเห็นและใช้บริการมากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ร้านเดียวในโลกที่คนเดินเข้าไปซื้อกาแฟนะ
ทุกอย่างมีช่องทางเสมอ
ดังนั้น ถ้า Boutique agency ที่แบกค่าใช้จ่ายอยู่ บนเส้นทางแห่งความกังวลและต้องการเดินต่อ ก่อนจะเร่งไปตั้งคำถามปลีกย่อย กดดันตัวเอง ลองกำหนด 1 Customer persona ของลูกค้าเราแบบชัดๆ ออกมา เป็นตัวเป็นๆ แบบมนุษย์ 1 คน ลูกค้าที่เราชอบทำงานด้วย ทำแล้วปิดง่าย ทำแล้ว flow ที่สุด ที่อาจจะไม่เหมือนลูกค้าของบริษัทอื่นๆเลย แล้วตอบคำถามสำคัญว่า
”คุณค่าของธุรกิจเรา จะสร้างประโยชน์ และทำให้ลูกค้าคนนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดได้อย่างไร? “
และหากต้องการสร้างทีม ก็กำหนด Agent persona ว่าเอเจนแบบไหน ที่ทำงานร่วมกับ culture ของบริษัทได้ดี และมีผลลัพธ์ และตั้งคำถามว่า “บริษัทเรา จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ให้กับเอเจนพาร์ทเนอร์ของเราได้อย่างไร?”

เพราะเป็น Real Estate Agency เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ

เปิดใจให้ใหญ่ ตั้งคำถามให้ไกล และให้กว้างกว่าข้อจำกัดเรื่องเงินทุน ประสบการณ์เก่าและความเป็นไปได้ในปัจจุบัน เพราะคุณค่าของสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นใหญ่กว่าเงิน และอย่าลืมว่า “ความเชื่อ” ของคุณนั้น ยิ่งใหญ่กว่าข้อจำกัดทั้งปวง

ถ้าอ่านมาได้ถึงตรงนี้ คุณก็มาไกลมากแล้วล่ะ อย่ายอมแพ้นะ

ขอให้พบคำตอบที่ให้พลัง และความสงบสุขในใจค่ะ

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม