นี่หรือคือ...วงจรชีวิตเอเจนอสังหาริมทรัพย์ ?
ปิดได้ห้องแรก กระโดดตัวลอย เพราะจ่ายค่าข้าว ค่าหอได้แล้วจากการทำงานเคสเดียว
ถ้าทำงานบริษัทก็ต้องรอจนเติบโตเป็น Director ในไม่รู้ตั้งกี่ปีในบริษัทกลาง ถึงใหญ่นั่นแหละ ถึงจะมีสิทธิ์ได้
ก็ไปแตะงานระดับ พาลูกค้าเดินดูห้องสวยๆแล้วปิดเช่าได้ค่าแรงหลักแสนจากการทำงานเคสเดียว!
ใช้แนวทางการ Farming เหมือนกัน ต่างกันที่ความต้องการลูกค้า และรายละเอียดสินค้า ที่ยังไงก็ต้องรู้ลึก และรู้ให้มากเหมือนกัน
เปรียบเทียบกับวันที่รู้ชัดเจนในงานของตัวเอง เอาอยู่ทุกเรื่องแล้ว ระดับความมั่นใจและพลังงานมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
เคยได้เงินง่ายจากตลาดที่คุ้นเคย ก็ทำเหมือนเดิม ซึ่งไม่มีอะไรผิด ถ้าปากไม่บ่นว่า “เหนื่อยว่ะ อยากทำขาย อยากจับ luxury อยากจับที่ดินมั่งแต่ไปไม่ได้สักที!”
มีคนมาปรึกษาตลอด ‘ ทำมาสักพักแล้ว อยากตั้งเป้าหมายขายปีละสองสามร้อยล้านบ้าง พอถามว่าปัจจุบันจับตลาดอะไร คำตอบคือไม่รู้ ทำไปทั่วล่ะ ลองมาหมดแล้ว เบื่อเช่าแต่ก็ทิ้งไม่ได้ ขายอะไรก็ไม่เกิด ไม่รู้มันติดอะไร
เงินก็เริ่มร่อยหรอ คิดว่าอยากขายบ้านหลังละ 30-40 ล้าน สักเดือนละหลัง คุณภาพชีวิตคงดีกว่านี้แน่ๆ นี่ถ้าขายอะไรไม่ได้ คงเลิกทำแล้วไปหากินทางอื่นแล้วล่ะ ‘
คนที่ไม่มีผลลัพธ์มานานๆ ทำแล้วไม่ไปไม่มานั้นอาการสาหัสกว่าเด็กใหม่ๆเยอะ ถ้าไม่เลือกเทขยะออกจากหัวด้วยตัวเอง เปลี่ยนความคิด พฤติกรรมและลงมือกระทำสร้างนิสัยใหม่ ยังไงก็ไม่สำเร็จ
แต่ถ้าเลือกกลับมาฝึกตัวเองใหม่จากการปรับพื้นฐาน โอกาสเติบโตได้รวดเร็วกว่าเดิมมีมาก เพราะไม่ได้เริ่มจาก 0
และการเริ่มใหม่ มันอาจดู “อ่อน” ดูช้า
แต่นักกีฬาที่เก่งๆ ระดับโลก ที่เคยก้าวขึ้นมาได้ด้วยความ genius ของตัวเอง และสุดท้ายร่างกายพัง บาดเจ็บ เกือบลงแข่งไม่ได้อีก มันมาจากความเคยชินที่ทำเรื่องเล็กๆบางอย่าง “ผิด” โดยไม่รู้ตัว
สะสมความผิดพลาดมานาน จนเกิดความเสียหายใหญ่โต และทุกคนมาได้สติ ปล่อยวางอีโก้ แล้วยอมเรียนเรื่องพื้นฐานใหม่ เชื่อโค้ช ฟังครู ทำใหม่ จากบนเตียงในโรงพยาบาลทั้งนั้น
และถ้าคุณไม่มีผลลัพธ์ทางด้านการงาน คุณก็ไม่มีผลลัพธ์ด้านอื่นด้วย
ได้เวลาเปลี่ยน หรือยัง?