ความรู้

ความรู้

ภาษีมรดก vs ภาษีการให้ ต่างกันยังไง? ส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาทแบบไหนดีกว่ากัน

วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 4 มิถุนายน 2568 18:02
หลายคนตั้งใจสร้างทรัพย์สินมาตลอดชีวิต เพื่อหวังจะส่งต่อให้ลูกหลานได้มีกินมีใช้อย่างสบาย แต่รู้ไหมว่า วิธีที่เลือกส่งต่อ ไม่ว่าจะ “ให้เลยตอนยังมีชีวิตอยู่” หรือ “ปล่อยเป็นมรดกหลังเสียชีวิต” ต่างมีภาษีที่ต้องจ่ายไม่น้อย บทความนี้จะพาไปดูว่า “ภาษีมรดก” กับ “ภาษีการให้” ต่างกันยังไง? และแบบไหนคุ้มค่ากว่าเมื่อต้องส่งต่อให้ทายาท
ทำความเข้าใจ กับ ภาษีมรดก vs ภาษีการให้
ก่อนจะตัดสินใจส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาท เราควรรู้จัก “ภาษีมรดก” และ “ภาษีการให้” ให้ชัดเจนก่อน เพราะแม้ว่าทั้งสองจะเกี่ยวข้องกับการส่งต่อทรัพย์สินเหมือนกัน แต่เงื่อนไข และผลทางภาษีต่างกันพอสมควร
เริ่มที่ ภาษีมรดก คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจาก “ผู้ที่ได้รับมรดก” ไม่ว่าจะเป็นทายาท โดยสิทธิตามกฎหมาย หรือผู้ที่ได้รับการระบุไว้ในพินัยกรรม หลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยจะเก็บเฉพาะกรณีที่ผู้รับได้รับทรัพย์สินจากบุคคลเดียวกันรวมกันเกิน 100 ล้านบาท ซึ่งผู้รับมรดกจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
ส่วน ภาษีการให้ หรือที่บางครั้งเรียกว่า ภาษีการรับให้ จัดอยู่ในภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะจัดเก็ยเมื่อมีการโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น การโอนบ้านให้ลูก การโอนหุ้นให้ญาติ หรือการมอบเงินก้อนให้คนใกล้ชิด ซึ่งหากการให้มีมูลค่าสูงเกินวงเงินที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ก็จะต้องเสียภาษีจากการรับทรัพย์สินนั้นเช่นกัน
ทรัพย์สินใดบ้างที่ต้องจ่ายภาษีมรดก
สำหรับทรัพย์สินที่ต้องจ่ายภาษีหลังจากได้รับมรดกตามกฎหมาย ได้แก่
- อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด ซึ่งหากอยู่ในประเทศไทย ให้คิดอัตราภาษีตามราคาประเมินทุนทรัพย์ หักด้วยภาระที่ถูกรอนสิทธิ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง
ส่วนกรณีทรัพย์มรดกอยู่ในต่างประเทศ แล้วประเทศนั้นมีราคาประเมินที่เป็นทางการให้ใช้ ราคาประเมินตามที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนด แต่ถ้าไม่มี ให้ใช้ ราคาที่หน่วยงานหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือในประเทศนั้นรับรอง
- หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้นในบริษัทมหาชน พันธบัตร หุ้นกู้ ฯลฯ
- เงินฝาก หรือทรัพย์สินที่มีลักษณะคล้ายเงินฝากในสถาบันการเงิน เช่น บัญชีเงินฝากประจำ บัญชีเงินออมทรัพย์ เงินฝากสหกรณ์
- ยานพาหนะที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เรือ เครื่องบินส่วนตัว ฯลฯ โดยต้องประเมินราคาตามราคากลางที่กำหนด
- ทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่น เงินลงทุนในต่างประเทศ หรือเงินตราต่างประเทศที่มีสิทธิเรียกคืน
ภาษีมรดก ต้องจ่ายยังไง?
ภาษีมรดก จะเริ่มคิดเมื่อผู้รับได้รับสิทธิในทรัพย์สินนั้นอย่างเป็นทางการ เช่น ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกและมีการแบ่งทรัพย์สินให้ โดยผู้รับมรดกสามารถพิมพ์เอกสารได้ททางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร แล้วนำไปยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่งหรือ ณ สถานที่อื่นใดตามที่อธิบดีกำหนด
ที่สำคัญต้องยื่นภายใน 150 วัน นับจากวันที่มีสิทธิได้รับทรัพย์สิน หากยื่นช้าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 1.50 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระและเสียเบี้ยปรับ 1 เท่า ของเงินภาษีที่ต้องชำระ
ภาษีมรดก ชำระเท่าไหร่?
อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ภาษีมรดกจะเก็บเฉพาะกรณีที่ผู้รับได้รับทรัพย์สินจากบุคคลเดียวกันรวมกันเกิน 100 ล้านบาทเท่านั้น โดยจะต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน ในอัตรา 5% สำหรับผู้รับที่เป็นทายาทโดยธรรม และ 10% สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ทายาทโดยตรง เช่น ญาติ หรือผู้ที่ได้รับพินัยกรรม
ยกตัวอย่างเช่น หากบุตรได้รับมรดกที่ดินและหุ้นรวมกันมูลค่า 120 ล้านบาทจากพ่อ จะต้องเสียภาษีเฉพาะ 20 ล้านบาทที่เกินจากเกณฑ์การยกเว้น วิธีคำนวณคือ 2 ล้านบาท × 5% เท่ากับต้องจ่ายภาษี 1 ล้านบาท
ภาษีการให้ จ่ายเหมือนภาษีมรดกหรือไม่?
ในส่วนของภาษีการให้ จะต้องจ่ายเฉพาะเมื่อมูลค่าทรัพย์สินที่ให้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเช่นกัน ถ้าเป็นการโอนทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ จากพ่อแม่ไปยังทายาทตามกฎหมาย (ไมรวมบุตรบุญธรรม) ผู้ให้จะต้องจ่ายในอัตรา 5% ของมูลค่าอสังหาฯ ส่วนที่เกินกว่า 20 ล้านบาท
แต่ถ้าเป็นการโอนให้กับญาติ บุตรบุญธรรม หรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ผู้รับจะต้องจ่ายภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาท
ยกตัวอย่าง แม่ยกบ้านที่มีราคาประเมินของมูลค่า 30 ล้านบาท ให้กับบุตตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แม่จะต้องเสียภาษีเฉพาะ 10 ล้านบาท ที่เกินจากเกณฑ์การยกเว้น ซึ่งคำนวณจาก 10 ล้านบาท × 5% เท่ากับ 5 แสนบาท
ขณะที่การให้ทรัพย์สินที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินสด ทองคำ หุ้น หรือทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ ภาษีจะคิดจากผู้รับเป็นหลัก โดยแบ่งตามลักษณะความสัมพันธ์ ถ้าผู้รับเป็นทายาทที่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี
แต่ถ้าเป็นบุคคลอื่น เช่น คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียน ญาติ บุตรบุญธรรม หรือบุคคลอื่น จะได้รับวงเงินยกเว้นแค่ 10 ล้านบาทต่อปีเช่นเดียวกับกรณีอสังหาริมทรัพย์ เมื่อได้รับทรัพย์สินเกินจากวงเงินที่กำหนด ผู้รับจะต้องนำมูลค่าส่วนเกินไปเสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่านั้น
ยกตัวอย่าง ลุงให้เงินสดเป็นของขวัญวันแต่งงานกับหลานจำนวน 15 ล้านบาท หลานจะต้องเสียภาษีที่เกินจากเกณฑ์การยกเว้น 5 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจาก 5 ล้านบาท × 5% เท่ากับ 2.5 แสนบาท
ส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาทแบบไหน จ่ายภาษีคุ้มที่สุด
หากถามว่าควรส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาทแบบไหน ถึงจะจ่ายภาษีคุ้มที่สุด ก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับมูลค่าทรัพย์สิน ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีมรดก การเขียนพินัยกรรมเพื่อส่งต่อหลังเสียชีวิตก็เป็นวิธีที่ง่ายกว่า และไม่เสียภาษีด้วย
แต่ถ้ามีทรัพย์สินจำนวนมาก หรือมีแนวโน้มจะเกินเกณฑ์ในอนาคต อาจจะทยอยโอนให้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีได้มากกว่า ดังนั้นสิ่งสำคัญคือควรเริ่มวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะยิ่งมีเวลาจัดการมากเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกหลานจะได้ทรัพย์สินแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่ต้องจ่ายภาษีแพง ๆ ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
แม้ทั้งภาษีมรดกและภาษีการให้จะดูคล้ายกันในแง่ของการ “ส่งต่อทรัพย์สิน” แต่การเลือกใช้วิธีใดในการวางแผน ก็อาจมีผลต่อภาษีที่ต้องจ่ายไม่มากก็น้อย ดังนั้น หากวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้าใจความแตกต่างของทั้งสองภาษีอย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้การส่งต่อทรัพย์สินเกิดความคุ้มค่าที่สุดสำหรับทั้งผู้ให้และผู้รับในอนาคต

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม