นิทานอสังหา EP.1: ปิดแผลเก่า สร้างแผลใหม่ #ด้วยคอนโดเงินเหลือ
#ด้วยคอนโดเงินเหลือ
มันเย็นยะเยือกแบบประหลาด เหมือนรู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไรโง่ๆ แต่ดันบอกกับตัวเองว่า “ไม่หรอก นี่แหละคือโอกาสทองที่จะรอดพ้นจากวิกฤติ”
บัตรเครดิตในกระเป๋ามีอยู่ 4 ใบ ใบแรกเต็มวงเงินมาเกือบปี ใบที่ 2 ก็ไม่ต่างกัน
ส่วนอีก 2 ใบ... ถ้าจะเรียกว่ามีไว้เผื่อฉุกเฉินก็พูดได้เต็มปาก เพราะมัน “ฉุกเฉิน” อยู่ตลอดเวลา
ทุกใบมีแต่ยอดขั้นต่ำที่จ่ายไปไม่เคยทันดอก คิดง่ายๆ คือจ่าย 10,000 ดอกกินไป 8,000 เหลือใช้หนี้จริง 2,000 แต่ไอ้สิ่งที่มันเจ็บกว่านั้นคือ การไม่รู้ว่าจุดจบอยู่ตรงไหน
จนวันนึง มีน้องคนนึงส่ง Link คอนโดมาให้ และบอกว่า
“นี่ไง ทางรอดของมึง”
ผ่านไปไม่ถึงเดือน สินเชื่ออนุมัติ แบงก์ให้วงเงิน 2.2 ล้าน คอนโดราคาขายอยู่ที่ 1.9 ล้าน ส่วนต่าง 3 แสน
จำได้ว่าตอนเงินเข้าบัญชี รู้สึกเหมือนรอดตายสภาวะเหมือนโผล่พ้นน้ำหลังจากที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรมาหลายเดือนกู้ได้ กดออกมาได้จริง
ที่หน้าจอแอปธนาคารไม่มีคำว่า “ยอดค้างชำระ” โล่ง...โล่งแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เช็คตลาดดู...
ค่าเช่าอยู่ที่ 6,500 บาท/เดือนแต่เงินกู้แบงก์ต้องผ่อน 12,000 บาท/เดือนยังไม่รวมค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโอน ค่าจิปาถะสารพัด
ครั้งก่อนแค่เบี้ยว จ่ายช้า แต่คราวนี้ ถ้าเบี้ยวเมื่อไหร่หมายศาลมาแน่และทรัพย์สินที่เราหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ มันกลับกลายเป็น “มูลหนี้ที่ใหญ่เกินไป”
ทุกวันนี้คอนโดยังอยู่ ไม่ได้อยู่เอง ไม่ได้เช่าออกบางเดือนก็หาคนเช่าได้ บางเดือนก็ปล่อยว่างเงินผ่อนต้องจ่ายทุกเดือนแบงก์ไม่เคยถามเราว่า "ช่วงนี้สบายดีมั้ย?” เค้าถามแค่ว่า “เดือนนี้ส่งค่างวดหรือยัง?”
พอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนบางคนฟัง หลายคนก็เงียบไปเพราะบางคนก็ทำแบบเดียวกันบางคนยังคิดจะทำ บางคนอยู่ระหว่างยื่นกู้...
นี่ไม่ใช่เรื่องสอนใจไม่ใช่บทสรุป ไม่ใช่แม้แต่คำแนะนำ มันเป็นเพียงการเล่าเรื่องเรื่องของคนธรรมดาคนนึงที่เคยคิดว่า เงินเหลือจากคอนโดคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
พอเริ่มคิดได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเข้ามาต่อจากนี้ ชีวิตมันก็ไม่ได้พังทลายลงทันทีหรอก มันค่อยๆ ทรุดลงทีละชั้น แบบตึกที่ฐานรากไม่แน่น มันยังไม่ถล่ม แต่รู้ว่ามันกำลังเริ่มเอียง
เดือนแรกยังพอไหว ผ่อนคอนโดตามงวด เช็คยอดเงินในบัญชีทุกวันเอาเงินเดือนมาโปะ
แต่พอถึงเดือนที่สอง...งานดันเงียบ ลูกค้าหาย รายได้หดเช่าก็ยังไม่ได้ งวดคอนโดก็ยังต้องส่งผสมกับเงินจาก Freelance นิดๆ หน่อยๆ
ยอดคงเหลือในบัญชี 2,180 บาท แต่ค่าผ่อนคอนโดพรุ่งนี้เช้า 12,000 บาท!!!
นั่งจ้องตัวเลขนั่นอยู่พักใหญ่ แล้วรู้สึกเหมือนกำลังจะคลื่นไส้ ทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย
"พี่ไม่ไหวแล้วว่ะ มีวิธีไหนไหมที่จะลดภาระได้บ้าง"
น้องเงียบไปแป๊บนึง แล้วตอบกลับมาว่า
“ก็ปล่อยขายคอนโดไหมพี่? แบบขาดทุนนิดหน่อยยังดีกว่าโดนยึดนะ”
เงินก้อนนั้น ตอนที่ได้มาใหม่ๆมันก็เหมือนการได้ลมหายใจในนาทีสุดท้ายเราเอาไปล้างหนี้บัตรเอาไปใช้จ่ายชีวิตเหมือนคนที่เพิ่งถูกปลดปล่อยกินดีขึ้น ซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะคิดว่า…ครั้งนี้จะเริ่มต้นใหม่อย่างมีวินัย
แต่เปล่าเลย พอหมดหนี้ปุ๊บ เราก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมแค่ไม่มีบัตรเครดิตให้รูดก็ใช้เงินสดแทนสุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม
เดือนที่สาม หางานเพิ่มไม่ได้ต้องเริ่มยืมเงินเพื่อนอ้างว่าเดี๋ยวคอนโดปล่อยเช่าได้ จะคืนให้ครบ แต่ใจก็รู้ว่า…ไม่น่าจะมีวันนั้นง่ายๆ
“หนี้ที่ดี” กับ “หนี้ที่เลว” คืออะไร
วันนึงเดินผ่านกระจก เห็นหน้าตัวเองแล้วสะดุ้งไม่ใช่เพราะหน้าตาโทรม แต่เพราะสายตาที่ “เลี่ยงมองตัวเอง” มันชัดเจนว่าเราอาย
อายที่เคยบอกคนอื่นว่า “เราวางแผนมาแล้ว”
อายที่ดันพาตัวเองไปติดกับดัก โดยสมัครใจ
อายจนไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้กับใครยังไงดี
กลายเป็นว่า...มีคนมาเล่าประสบการณ์คล้ายๆ กันเพียบบางคนเละยิ่งกว่า บางคนแค่เฉียดรอด
นั่นแหละ…ถึงเริ่มรู้สึกว่า ผมไม่ได้ “โง่คนเดียว” แต่อย่างน้อย...ขอให้โง่ครั้งเดียวพอ
จากนั้นเริ่มวางแผนใหม่ ขายของที่ไม่จำเป็นขอขยายเวลาผ่อนเจรจาแบงก์ ขอรีไฟแนนซ์ย้ายไปอยู่กับญาติ ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างมันไม่ได้ง่าย แต่มัน เริ่มดีขึ้นช้าๆ
ชีวิตมันไม่เคยให้ของขวัญฟรีแม้แต่คอนโดเงินเหลือมันก็แค่เงินกู้ที่ห่อไว้ในกล่องของขวัญและถ้าคุณแกะมันโดยไม่รู้ว่าข้างในคืออะไรมันอาจไม่ใช่ทางรอดแต่มันคือเครื่องมือที่คุณจะใช้ #ฆ่าตัวเองช้าๆ แบบจ่ายขั้นต่ำรายเดือน
ไม่มีเพลงปลุกใจ
ไม่มีใครมาตบบ่าบอกว่า “นายทำได้”
มีแค่ตอนดึกๆ ที่นั่งอยู่ในห้องเล็กๆมือถือวางอยู่ข้างเตียง ไฟเพดานหรี่ลงครึ่งหลอดเสียงพัดลมดังแผ่วๆ แต่ความคิดในหัวมันดังชัดเจน
“กูจะอยู่แบบนี้ไปอีกกี่ปี?”
เขียนแค่…
“เจ้าของขายเอง ต้องการคนมาสานต่อ ผ่อนไม่ไหวแล้ว”
ใครจะมองว่าน่าสงสารก็ช่าง ใครจะต่อราคาก็ไม่ว่าตอนนั้นไม่มีอีโก้เหลือพอจะหวงศักดิ์ศรี
ผ่านไปเดือนนึง มีคนมาติดต่อจริงต่อราคาหนักมาก ต่ำกว่าทุนเกือบห้าแสน แต่ครั้งนี้…ผมตอบกลับไปว่า
“ไม่ขายครับ ขายแล้วก็ไม่รอดอยู่ดี ขอเช่าก็พอ”
กล้องมือถือก็ใช้ถ่ายแบบคนจริงจัง ถ่ายหลายมุม ใส่คำในโพสต์ว่า
“เจ้าของห้องดูแลเอง ไม่ผ่านนายหน้า”
อยู่ดีๆ คนก็ทักมาเยอะและในที่สุดก็ปล่อยเช่าได้ 8,500 บาทในที่สุด
ยังไม่พอผ่อนหรอก แต่มันคือเงินที่ไม่เคยมี ตลอด 3 เดือนก่อนหน้านั้นตอนนั้นเลยคิดว่า…งั้นขอเอาอีกหน่อย ช่วงกลางวันทำงานประจำ กลางคืนรับ Job เขียนคอนเทนต์ให้เอเจนซี่รายได้เสริมเริ่มเข้ามาแบบไม่มาก แต่มา “ทุกวัน”
วันหนึ่งมีสายจากแบงก์โทรมาบอกว่าเห็นว่าเราจ่ายดีต่อเนื่องมา3เดือน แนะนำให้ลอง Refinance
ตอนนั้นแทบอยากจะกราบปลายสายลดดอกเบี้ยลงได้เดือนละพันกว่ายืดเวลาผ่อนอีกนิด กดเงินต้นให้เบาลงเราค่อยๆ หายใจได้โล่งขึ้น
แล้วจู่ๆ ก็มีรุ่นพี่ในวงการโทรมาบอกว่าเห็นโพสต์ที่ผมเคยเล่าเรื่องคอนโดเงินเหลือในกลุ่มอยากให้มาช่วยบรรยายให้เด็กใหม่ฟังในคลาสเรียนของเขา
“เรื่องพี่อะ มีประโยชน์มากกว่าที่พี่คิดนะ”
วันนั้นผมไปพูดในคลาสนั้นด้วยรอยยิ้มจริงๆไม่ใช่รอยยิ้มแบบรูปวันโอนคอนโดแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ “ยอมรับว่าเคยโง่”และไม่กลัวจะเล่าให้คนอื่นฟัง
วันนี้ ผมยังผ่อนคอนโดห้องนั้นอยู่ ไม่ได้รวยขึ้น ไม่ได้มีหนี้หมดแต่ไม่เคยขอใครอีกแล้วไม่เคยเบี้ยวอีกเลยและสำคัญที่สุดคือ
#ไม่เคยลืมความรู้สึกวันที่มีเงินอยู่ 2,180 บาท
#กับต้องส่งค่างวด 12,000 พรุ่งนี้เช้า
ที่ดูหรูขึ้นเฉยๆ
คุณเลือกได้แต่ขอให้เลือกด้วยสายตาที่ไม่หลบตัวเองในกระจกเพราะสุดท้าย ไม่ว่าจะเหลือเงินเท่าไหร่ในบัญชีสิ่งที่คุณต้องมีเสมอ...คือ “สติ” และ "สติ" มันกู้เพิ่มไม่ได้จากแบงก์ไหนทั้งนั้น
ตอนที่ผมไปบรรยายในคลาสนั้น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเวที ไม่มีไมค์ลอย ไม่มีแสงไฟจับหน้า มีแค่โต๊ะไม้เก่าๆกับเด็กมหาลัยประมาณ 20กว่าคน ที่นั่งงงๆ ว่าคนตรงหน้าที่กำลังจะพูดนี่เป็นใครแล้วจะมาเล่าเรื่องอสังหาริมทรัพย์ได้ยังไง
ผมไม่พยายามจะสอนอะไรใครเพราะวันนั้นไม่ได้ไปในฐานะผู้รู้แต่ไปในฐานะ “ผู้รอด”
ตอนเล่าเรื่องจนจบ เด็กในห้องเงียบไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงซุบซิบ มีแต่แววตาแบบที่เหมือนกำลังคิดหนัก และเสียงลมหายใจที่แผ่วลง
แล้วก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยกมือลังเลก่อนจะถาม
เด็กคนนั้นพยักหน้า แต่ก็ยังดูไม่แน่ใจผมเลยพูดต่ออีกนิดอย่าซื้อคอนโดเพราะกลัวตกรถอย่ารีบเป็นเจ้าของ เพราะโฆษณาบอกว่า
“อย่าพลาดโอกาสคอนโดหลังแรกของคุณ”
อย่าให้หนี้กลายเป็นเครื่องยืนยันว่าเราประสบความสำเร็จเพราะความจริงคือ คนที่มีหนี้ไม่ได้แปลว่ารวยบางทีมันแปลว่า
“กำลังดิ้นรนเงียบๆ” อยู่ในใจต่างหาก
บางคนบอกว่าเพื่อนเพิ่งกู้คอนโดแบบเงินเหลือ แล้วมาเล่าด้วยเสียงดีใจ แต่พอฟังเรื่องผมจบ เค้าเริ่มลังเลแทนเพื่อน
ผมไม่ได้ห้ามใครซื้อคอนโด ไม่ได้ต้านความฝันแต่ขอแค่ให้รู้ว่า ทุกตารางเมตรที่กู้มามันไม่ได้มีแค่พื้นปูนมันมีภาระซ่อนอยู่ด้วยและถ้าไม่รู้จักตัวเองให้ดี
คือวันที่ผมรู้สึกว่า...ประสบการณ์ห่วยๆ ของผม มันได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อใครบางคนจริงๆ
จบนิทานอสังหา