แชร์ประสบการณ์

แชร์ประสบการณ์

นิทานอสังหา EP.1: ปิดแผลเก่า สร้างแผลใหม่ #ด้วยคอนโดเงินเหลือ

matching
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 21 กรกฎาคม 2568 11:52
นิทานอสังหา EP.1 : ปิดแผลเก่า สร้างแผลใหม่


#ด้วยคอนโดเงินเหลือ
นิทานเรื่องนี้ยาวมาก กลั้นใจอ่านนะ แต่มีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหา หรือกำลังคิดจะเข้าไปเล่นกับไฟเรื่องนี้ไม่อยากพาดพิงใคร สมมติว่าเป็นผมละกัน
ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี 66 อากาศไม่ได้หนาวอะไรหรอก แต่ความรู้สึกในใจ
มันเย็นยะเยือกแบบประหลาด เหมือนรู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไรโง่ๆ แต่ดันบอกกับตัวเองว่า “ไม่หรอก นี่แหละคือโอกาสทองที่จะรอดพ้นจากวิกฤติ”

บัตรเครดิตในกระเป๋ามีอยู่ 4 ใบ ใบแรกเต็มวงเงินมาเกือบปี ใบที่ 2 ก็ไม่ต่างกัน
ส่วนอีก 2 ใบ... ถ้าจะเรียกว่ามีไว้เผื่อฉุกเฉินก็พูดได้เต็มปาก เพราะมัน “ฉุกเฉิน” อยู่ตลอดเวลา

ทุกใบมีแต่ยอดขั้นต่ำที่จ่ายไปไม่เคยทันดอก คิดง่ายๆ คือจ่าย 10,000 ดอกกินไป 8,000 เหลือใช้หนี้จริง 2,000 แต่ไอ้สิ่งที่มันเจ็บกว่านั้นคือ การไม่รู้ว่าจุดจบอยู่ตรงไหน

จนวันนึง มีน้องคนนึงส่ง Link คอนโดมาให้ และบอกว่า
“พี่ลองดูไหม ซื้อคอนโดเงินเหลือ ได้เงินก้อน ปิดหนี้ได้เลยนะ”
ตอนแรกก็ขำ แต่พอคลิกเข้าไปดู เออ...น่าสนใจราคาคอนโดไม่สูงมาก ทำเลก็พอใช้ได้ แถมโครงการยังโฆษณาชัดเจนว่า
“วงเงินกู้สูงกว่าราคาซื้อจริง ได้เงินเหลือเป็นก้อน”
ตอนนั้นหัวใจมันกระซิบว่า

“นี่ไง ทางรอดของมึง”
กระบวนการก็ง่ายกว่าที่คิดนัดเซลล์ เซ็นเอกสาร ยื่นแบงก์เซลล์บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเอกสาร เดี๋ยวเค้าช่วยจัดการให้หมดStatement ธนาคารก็มี พี่ฝ่ายการเงินจัดแต่งให้สวยงาม

ผ่านไปไม่ถึงเดือน สินเชื่ออนุมัติ แบงก์ให้วงเงิน 2.2 ล้าน คอนโดราคาขายอยู่ที่ 1.9 ล้าน ส่วนต่าง 3 แสน

จำได้ว่าตอนเงินเข้าบัญชี รู้สึกเหมือนรอดตายสภาวะเหมือนโผล่พ้นน้ำหลังจากที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรมาหลายเดือนกู้ได้ กดออกมาได้จริง
หยิบมือถือขึ้นมาจ่ายบัตรหมดทุกใบล้างหนี้จนหมด...เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ที่หน้าจอแอปธนาคารไม่มีคำว่า “ยอดค้างชำระ” โล่ง...โล่งแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่ไม่นานนัก...ก็เริ่มได้กลิ่นบางอย่างไม่ค่อยดี
คอนโดที่ได้มาไม่ได้อยู่เองเพราะไกลจากที่ทำงานจะปล่อยเช่าก็ไม่มีใครสนใจ เพราะโครงการดันขึ้นพร้อมกับอีก 6 โครงการ ในระยะรัศมี 500 เมตร

เช็คตลาดดู...
ค่าเช่าอยู่ที่ 6,500 บาท/เดือนแต่เงินกู้แบงก์ต้องผ่อน 12,000 บาท/เดือนยังไม่รวมค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโอน ค่าจิปาถะสารพัด
เงินที่ได้มาก็หมดในเวลาไม่ถึง 2 เดือนตอนนั้นเริ่มคิดได้...ว่าเราไม่ได้ #ล้างหนี้ เราแค่ #ย้ายหนี้
จากบัตรเครดิตไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ มาสู่คอนโดที่เอาเงินกู้จากแบงก์มาผูกพันธะไว้

ครั้งก่อนแค่เบี้ยว จ่ายช้า แต่คราวนี้ ถ้าเบี้ยวเมื่อไหร่หมายศาลมาแน่และทรัพย์สินที่เราหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ มันกลับกลายเป็น “มูลหนี้ที่ใหญ่เกินไป”
สิ่งที่แย่กว่าความผิดพลาด คือ
การที่เรารู้ตัวช้าพอหันกลับไปดูตอนที่เซ็นชื่อในเอกสารวันนั้นเราก็ยังยิ้ม...แต่ในรูปถ่ายวันโอนคอนโด รอยยิ้มนั้นมันดูปลอมแบบแปลกๆ เหมือนคนที่กำลังพยายามหลอกตัวเอง ว่าทุกอย่างจะดี
แต่ความจริงคือ...
เราไม่ได้รักษาแผลเก่า เราแค่เอาผ้าพันแผลใหม่ไปพันรอยเดิม แล้วแถมรอยเย็บเพิ่มอีกสักแผลสองแผลไปด้วย

ทุกวันนี้คอนโดยังอยู่ ไม่ได้อยู่เอง ไม่ได้เช่าออกบางเดือนก็หาคนเช่าได้ บางเดือนก็ปล่อยว่างเงินผ่อนต้องจ่ายทุกเดือนแบงก์ไม่เคยถามเราว่า "ช่วงนี้สบายดีมั้ย?” เค้าถามแค่ว่า “เดือนนี้ส่งค่างวดหรือยัง?”

พอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนบางคนฟัง หลายคนก็เงียบไปเพราะบางคนก็ทำแบบเดียวกันบางคนยังคิดจะทำ บางคนอยู่ระหว่างยื่นกู้...
และหลายคนก็ยังเชื่อว่า
“คอนโดเงินเหลือ” คือทางรอด ทั้งที่จริงๆ มันอาจจะเป็นเพียงทางเบี่ยงที่พาเราไปสู่ทางตันที่ใหญ่ขึ้น แต่แค่มีกระเบื้องแกรนิตปูพื้นให้มันดูหรูหรา

นี่ไม่ใช่เรื่องสอนใจไม่ใช่บทสรุป ไม่ใช่แม้แต่คำแนะนำ มันเป็นเพียงการเล่าเรื่องเรื่องของคนธรรมดาคนนึงที่เคยคิดว่า เงินเหลือจากคอนโดคือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่สุดท้าย...ก็พบว่ามันเป็นไฟหน้ารถบรรทุกที่วิ่งสวนทางมาในความมืดต่างหาก
และสิ่งที่เรียนรู้มากที่สุดจากเรื่องนี้...คือบางที ทางรอดที่ง่ายที่สุด อาจจะไม่ใช่ทางที่ปลอดภัยเลยสักนิดเดียว

พอเริ่มคิดได้ถึงสิ่งที่กำลังจะเข้ามาต่อจากนี้ ชีวิตมันก็ไม่ได้พังทลายลงทันทีหรอก มันค่อยๆ ทรุดลงทีละชั้น แบบตึกที่ฐานรากไม่แน่น มันยังไม่ถล่ม แต่รู้ว่ามันกำลังเริ่มเอียง

เดือนแรกยังพอไหว ผ่อนคอนโดตามงวด เช็คยอดเงินในบัญชีทุกวันเอาเงินเดือนมาโปะ

แต่พอถึงเดือนที่สอง...งานดันเงียบ ลูกค้าหาย รายได้หดเช่าก็ยังไม่ได้ งวดคอนโดก็ยังต้องส่งผสมกับเงินจาก Freelance นิดๆ หน่อยๆ
มีอยู่วันนึง
ขับรถกลับบ้านตอนค่ำๆ แล้วจอดแวะกินข้าวข้างทาง เปิด app bank ขึ้นมาดู…
ยอดคงเหลือในบัญชี 2,180 บาท แต่ค่าผ่อนคอนโดพรุ่งนี้เช้า 12,000 บาท!!!

นั่งจ้องตัวเลขนั่นอยู่พักใหญ่ แล้วรู้สึกเหมือนกำลังจะคลื่นไส้ ทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย
วันถัดมา
โทรหาน้องที่ทำเรื่องกู้ให้ บอกน้องว่า
"พี่ไม่ไหวแล้วว่ะ มีวิธีไหนไหมที่จะลดภาระได้บ้าง"

น้องเงียบไปแป๊บนึง แล้วตอบกลับมาว่า
“ก็ปล่อยขายคอนโดไหมพี่? แบบขาดทุนนิดหน่อยยังดีกว่าโดนยึดนะ”
คำว่า “ขาดทุนนิดหน่อย” ตอนนั้นมันแปลว่าอะไร
แปลว่า คอนโดที่ซื้อมา 1.9 ล้าน ต้องขายทิ้ง 1.6 ล้านแล้วพี่จะต้องควักเงินส่วนต่าง 3 แสน มาปิด Bank เองถามว่าน่าทำมั้ย?แน่นอนว่า น่าทำที่สุดแต่ความจริงคือ... ไม่มีเงิน 3 แสนนั่นอีกแล้ว

เงินก้อนนั้น ตอนที่ได้มาใหม่ๆมันก็เหมือนการได้ลมหายใจในนาทีสุดท้ายเราเอาไปล้างหนี้บัตรเอาไปใช้จ่ายชีวิตเหมือนคนที่เพิ่งถูกปลดปล่อยกินดีขึ้น ซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะคิดว่า…ครั้งนี้จะเริ่มต้นใหม่อย่างมีวินัย

แต่เปล่าเลย พอหมดหนี้ปุ๊บ เราก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมแค่ไม่มีบัตรเครดิตให้รูดก็ใช้เงินสดแทนสุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม

เดือนที่สาม หางานเพิ่มไม่ได้ต้องเริ่มยืมเงินเพื่อนอ้างว่าเดี๋ยวคอนโดปล่อยเช่าได้ จะคืนให้ครบ แต่ใจก็รู้ว่า…ไม่น่าจะมีวันนั้นง่ายๆ
ตอนนั้นเริ่มเข้าใจคำว่า

“หนี้ที่ดี” กับ “หนี้ที่เลว” คืออะไร
แบบไม่ต้องเปิดตำรา
หนี้ที่ดีคือหนี้ที่สร้างรายได้ หรืออย่างน้อยก็มีของอยู่ในมือที่มีมูลค่า
แต่หนี้ที่เราแบกอยู่...มันไม่มีรายได้สักบาทมีแต่ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย กับความเครียดที่ไม่มีใครช่วยแชร์ Damage

วันนึงเดินผ่านกระจก เห็นหน้าตัวเองแล้วสะดุ้งไม่ใช่เพราะหน้าตาโทรม แต่เพราะสายตาที่ “เลี่ยงมองตัวเอง” มันชัดเจนว่าเราอาย
อายที่เคยคิดว่าฉลาด
อายที่เคยบอกคนอื่นว่า “เราวางแผนมาแล้ว”
อายที่ดันพาตัวเองไปติดกับดัก โดยสมัครใจ
อายจนไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้กับใครยังไงดี
จนวันนึง...ตัดสินใจโพสต์เรื่องนี้
ในกลุ่มปิดของคนทำงานสายอสังหาฯเขียนแบบไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้นตอนนี้ไม่อายแล้ว ถ้าจะเจ็บ....ก็เจ็บให้มันสุด

กลายเป็นว่า...มีคนมาเล่าประสบการณ์คล้ายๆ กันเพียบบางคนเละยิ่งกว่า บางคนแค่เฉียดรอด

นั่นแหละ…ถึงเริ่มรู้สึกว่า ผมไม่ได้ “โง่คนเดียว” แต่อย่างน้อย...ขอให้โง่ครั้งเดียวพอ

จากนั้นเริ่มวางแผนใหม่ ขายของที่ไม่จำเป็นขอขยายเวลาผ่อนเจรจาแบงก์ ขอรีไฟแนนซ์ย้ายไปอยู่กับญาติ ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างมันไม่ได้ง่าย แต่มัน เริ่มดีขึ้นช้าๆ
ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะเริ่ม “ยอมรับ” ความพังของตัวเอง
และทุกวันนี้...ถึงจะยังมีหนี้แต่เป็นหนี้ที่รู้ว่าเกิดจากอะไร และรู้ด้วยว่า...จะออกจากมันยังไง

ชีวิตมันไม่เคยให้ของขวัญฟรีแม้แต่คอนโดเงินเหลือมันก็แค่เงินกู้ที่ห่อไว้ในกล่องของขวัญและถ้าคุณแกะมันโดยไม่รู้ว่าข้างในคืออะไรมันอาจไม่ใช่ทางรอดแต่มันคือเครื่องมือที่คุณจะใช้ #ฆ่าตัวเองช้าๆ แบบจ่ายขั้นต่ำรายเดือน
เมื่อเรารู้ปัญหาและยอมรับตัวเองแล้ว จากนี้ไปคือการแก้ปัญหา
เอาล่ะ!!!! ตอนที่เริ่มเอาคืนชีวิตตัวเอง มันไม่ได้มาในรูปของแรงบันดาลใจ จาก Life Coach ออนไลน์ไม่มีฉากตื่นเช้าแล้วพูดกับตัวเองหน้ากระจกว่า “วันนี้กูจะเปลี่ยนแปลงชีวิต”

ไม่มีเพลงปลุกใจ
ไม่มีใครมาตบบ่าบอกว่า “นายทำได้”

มีแค่ตอนดึกๆ ที่นั่งอยู่ในห้องเล็กๆมือถือวางอยู่ข้างเตียง ไฟเพดานหรี่ลงครึ่งหลอดเสียงพัดลมดังแผ่วๆ แต่ความคิดในหัวมันดังชัดเจน

“กูจะอยู่แบบนี้ไปอีกกี่ปี?”
วันนั้นกดเข้าเว็บประกาศขายคอนโด โพสต์รูปแบบซื่อๆ ไม่ใช้คำหวาน ไม่แต่งประโยคบรรยายเวอร์

เขียนแค่…
“เจ้าของขายเอง ต้องการคนมาสานต่อ ผ่อนไม่ไหวแล้ว”

ใครจะมองว่าน่าสงสารก็ช่าง ใครจะต่อราคาก็ไม่ว่าตอนนั้นไม่มีอีโก้เหลือพอจะหวงศักดิ์ศรี

ผ่านไปเดือนนึง มีคนมาติดต่อจริงต่อราคาหนักมาก ต่ำกว่าทุนเกือบห้าแสน แต่ครั้งนี้…ผมตอบกลับไปว่า

“ไม่ขายครับ ขายแล้วก็ไม่รอดอยู่ดี ขอเช่าก็พอ”
แล้วผมก็เริ่มอีกทางเปลี่ยนจากเจ้าของมาเป็น “เอเจนท์ของห้องตัวเอง”
ปล่อยเช่าเอง ยิงโฆษณาเอง ตอบแชทเองจากค่าเช่า 6,500 ที่ไม่มีคนเอาลองใส่เฟอร์เพิ่ม จัดห้องใหม่ให้ดูแพงขึ้น ติด Wallpaper ที่ซื้อมือสองมาจากเพจ Facebook

กล้องมือถือก็ใช้ถ่ายแบบคนจริงจัง ถ่ายหลายมุม ใส่คำในโพสต์ว่า

“เจ้าของห้องดูแลเอง ไม่ผ่านนายหน้า”

อยู่ดีๆ คนก็ทักมาเยอะและในที่สุดก็ปล่อยเช่าได้ 8,500 บาทในที่สุด

ยังไม่พอผ่อนหรอก แต่มันคือเงินที่ไม่เคยมี ตลอด 3 เดือนก่อนหน้านั้นตอนนั้นเลยคิดว่า…งั้นขอเอาอีกหน่อย ช่วงกลางวันทำงานประจำ กลางคืนรับ Job เขียนคอนเทนต์ให้เอเจนซี่รายได้เสริมเริ่มเข้ามาแบบไม่มาก แต่มา “ทุกวัน”
ไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ที่ฟาดทีเดียวแล้วหายแต่มาเหมือนละอองฝนที่พอผ่านไปเดือนนึง กลายเป็นน้ำขังในขันเล็กๆ ที่พอเติมชีวิตได้

วันหนึ่งมีสายจากแบงก์โทรมาบอกว่าเห็นว่าเราจ่ายดีต่อเนื่องมา3เดือน แนะนำให้ลอง Refinance

ตอนนั้นแทบอยากจะกราบปลายสายลดดอกเบี้ยลงได้เดือนละพันกว่ายืดเวลาผ่อนอีกนิด กดเงินต้นให้เบาลงเราค่อยๆ หายใจได้โล่งขึ้น

แล้วจู่ๆ ก็มีรุ่นพี่ในวงการโทรมาบอกว่าเห็นโพสต์ที่ผมเคยเล่าเรื่องคอนโดเงินเหลือในกลุ่มอยากให้มาช่วยบรรยายให้เด็กใหม่ฟังในคลาสเรียนของเขา
คำพูดประโยคนั้น...

“เรื่องพี่อะ มีประโยชน์มากกว่าที่พี่คิดนะ”
มันกระแทกเข้าที่ใจเหมือนหมัดจากข้างหลังไม่ใช่เพราะดีใจที่ได้ไปพูดแต่เพราะมันทำให้รู้ว่าแม้ประสบการณ์ที่เละที่สุดในชีวิต ก็อาจกลายเป็นบทเรียนให้คนอื่นได้

วันนั้นผมไปพูดในคลาสนั้นด้วยรอยยิ้มจริงๆไม่ใช่รอยยิ้มแบบรูปวันโอนคอนโดแต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ “ยอมรับว่าเคยโง่”และไม่กลัวจะเล่าให้คนอื่นฟัง

วันนี้ ผมยังผ่อนคอนโดห้องนั้นอยู่ ไม่ได้รวยขึ้น ไม่ได้มีหนี้หมดแต่ไม่เคยขอใครอีกแล้วไม่เคยเบี้ยวอีกเลยและสำคัญที่สุดคือ


#ไม่เคยลืมความรู้สึกวันที่มีเงินอยู่
2,180 บาท

#กับต้องส่งค่างวด
12,000 พรุ่งนี้เช้า
ใครที่กำลังคิดจะ “จบหนี้เก่า ด้วยคอนโดเงินเหลือ”
ผมจะไม่บอกว่ามันผิด แต่อยากให้คุณรู้ว่า “มันไม่ใช่เวทมนตร์” มันไม่ใช่การกด Reset ชีวิต มันคือการเปลี่ยนจาก “ลำบากแบบหนึ่ง” ไปสู่ “ลำบากอีกแบบหนึ่ง”
ที่ดูหรูขึ้นเฉยๆ

คุณเลือกได้แต่ขอให้เลือกด้วยสายตาที่ไม่หลบตัวเองในกระจกเพราะสุดท้าย ไม่ว่าจะเหลือเงินเท่าไหร่ในบัญชีสิ่งที่คุณต้องมีเสมอ...คือ “สติ” และ "สติ" มันกู้เพิ่มไม่ได้จากแบงก์ไหนทั้งนั้น

ตอนที่ผมไปบรรยายในคลาสนั้น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเวที ไม่มีไมค์ลอย ไม่มีแสงไฟจับหน้า มีแค่โต๊ะไม้เก่าๆกับเด็กมหาลัยประมาณ 20กว่าคน ที่นั่งงงๆ ว่าคนตรงหน้าที่กำลังจะพูดนี่เป็นใครแล้วจะมาเล่าเรื่องอสังหาริมทรัพย์ได้ยังไง
ผมเริ่มต้นด้วยการไม่พูดเรื่องเทคนิคไม่พูดเรื่องทำเล หรือ ROI แต่ผมเล่าเรื่องหนี้...
เล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ เหมือนเพื่อนเล่ากันฟังเริ่มตั้งแต่ตอนที่ยื่นกู้คอนโดด้วยความมั่นใจ ไปจบที่เหลือเงิน 2,000 แต่ต้องจ่าย 12,000

ผมไม่พยายามจะสอนอะไรใครเพราะวันนั้นไม่ได้ไปในฐานะผู้รู้แต่ไปในฐานะ “ผู้รอด”

ตอนเล่าเรื่องจนจบ เด็กในห้องเงียบไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงซุบซิบ มีแต่แววตาแบบที่เหมือนกำลังคิดหนัก และเสียงลมหายใจที่แผ่วลง

แล้วก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยกมือลังเลก่อนจะถาม
“พี่คะ แล้วถ้าเราเพิ่งเริ่มทำงาน...แต่มีโอกาสซื้อคอนโดได้เลย ควรซื้อมั้ย หรือรอไปก่อน?”
ผมยิ้ม แล้วตอบแบบไม่ต้องคิดนาน
“ซื้อได้ ถ้ามีแผน ไม่ใช่แค่มีฝัน”
คอนโดไม่ใช่ของผิด คำว่า หนี้ ก็ไม่ใช่ของเลวแต่หนี้จะพาเราไปนรก ถ้าเราไม่รู้ว่าเรากำลังเอามันมาใช้ทำอะไร

เด็กคนนั้นพยักหน้า แต่ก็ยังดูไม่แน่ใจผมเลยพูดต่ออีกนิดอย่าซื้อคอนโดเพราะกลัวตกรถอย่ารีบเป็นเจ้าของ เพราะโฆษณาบอกว่า

“อย่าพลาดโอกาสคอนโดหลังแรกของคุณ”

อย่าให้หนี้กลายเป็นเครื่องยืนยันว่าเราประสบความสำเร็จเพราะความจริงคือ คนที่มีหนี้ไม่ได้แปลว่ารวยบางทีมันแปลว่า

“กำลังดิ้นรนเงียบๆ” อยู่ในใจต่างหาก
หลังจากนั้น
มีเด็กหลายคนเข้ามาคุยต่อหลังคลาสบางคนบอกว่าพ่อแม่จะซื้อให้แต่เขากลัวว่าจะกลายเป็นภาระ

บางคนบอกว่าเพื่อนเพิ่งกู้คอนโดแบบเงินเหลือ แล้วมาเล่าด้วยเสียงดีใจ แต่พอฟังเรื่องผมจบ เค้าเริ่มลังเลแทนเพื่อน

ผมไม่ได้ห้ามใครซื้อคอนโด ไม่ได้ต้านความฝันแต่ขอแค่ให้รู้ว่า ทุกตารางเมตรที่กู้มามันไม่ได้มีแค่พื้นปูนมันมีภาระซ่อนอยู่ด้วยและถ้าไม่รู้จักตัวเองให้ดี
พื้นที่นั้นอาจกลายเป็นหลุมที่เราฝังชีวิตตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายก่อนกลับ ผมฝากไว้แค่นี้
“คนที่พร้อมจะเป็นเจ้าของอสังหา...ไม่ใช่คนที่กล้ากู้แต่คือคนที่กล้ารับผิดชอบ ถ้าทุกอย่างมันพัง
และนั่นแหละ
คือวันที่ผมรู้สึกว่า...ประสบการณ์ห่วยๆ ของผม มันได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อใครบางคนจริงๆ

จบนิทานอสังหา

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม