แชร์ประสบการณ์

แชร์ประสบการณ์

นิทานอสังหา EP.7 (2/4) : ศรัทธาที่แตกสลาย...เมื่อไอดอลในทีมกลายเป็นคนแปลกหน้า

matching
วันที่สร้างประกาศ เวลาสร้าง 1 สิงหาคม 2568 09:30
นิทานอสังหา EP.7 (2/4) ความเจ็บปวดจากคนที่ผมเคยเรียกว่า “ไอดอล”
เขาชื่อเบนซ์ เด็กหนุ่มอายุ 24 ปี บ้านอยู่แถวบางกรวย ปลายสายรถเมล์ 203 แม่ขายก๋วยเตี๋ยว พ่อออกเรือหาปลา เงินเดือนแรกของเขา… ได้จากการรับจ้างตัดต่อวิดีโอรีวิวอาหาร เดือนละ 6,800 บาท

เขาเรียนไม่จบ แต่ไม่ได้ขี้เกียจเขาพูดเก่ง ยิ้มเก่ง ใจดีเกินไปจนบางทีเหมือนอ่อนไหวต่อความฝันและนั่นคือเหตุผลที่เขาตกหลุมรักพี่นนท์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง Live ใน TikTok
“ถ้าน้องไม่มีเงิน ก็ใช้แรงแทนทุนได้ครับ”
เสียงพี่นนท์พูดด้วยโทนอบอุ่นไม่รีบ ไม่ขายฝันมีความเป็นพี่คนหนึ่ง... มากกว่าคนที่อยากชวนคนมาร่วมงาน เบนซ์ฟังจนจบ แล้วตัดสินใจทักไปไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงพิมพ์ๆๆลบ ๆๆพิมพ์ใหม่อยู่หลายรอบจนกลั่นออกมาได้ว่า
“พี่ครับ ผมอยากทำอาชีพนี้จริง ๆ ผมไม่มีทุนเลย แต่ผมขอเรียนรู้ได้มั้ยครับ? ผมจะช่วยพี่ให้ถึงที่สุด”
เขาไม่หวังอะไรแค่ขอพื้นที่เล็ก ๆ ให้ตัวเองรู้สึกว่า ชีวิตไม่ได้หยุดอยู่กับคำว่า “ไม่มีอะไรเลย”

พี่นนท์ตอบกลับมาในเย็นวันนั้น
“มาเลยน้อง พี่ก็เริ่มจากไม่มีเหมือนกัน” ไม่ถึง 5 นาที เบนซ์ถูกดึงเข้ากลุ่ม “ทีมพี่นนท์”

ที่มีเอเจนท์ทั้งมือใหม่ มือกลาง มือโปร แต่ละคนทักทาย ยินดีต้อนรับมีรูปรีวิว ปิดดีล ลูกค้ายืนยิ้ม ถือกุญแจอยู่หน้าบ้านเบนซ์รู้สึกเหมือนได้เข้าโรงเรียนที่ไม่มีตารางสอนแต่มีความหวังเป็นห้องเรียนใหญ่

เบนซ์เริ่มต้นจากงานเล็กที่สุดในทีม รับหน้าที่ไปถ่ายรูปทรัพย์แทนพี่ไปดูบ้าน พูดกับนิติ คุยกับคนเฝ้าโครงการ จดชื่อ จดเลขบ้านถ่ายแปลน วัดพื้นที่ขอข้อมูล Update กับเจ้าของแล้วส่งทุกอย่างให้พี่นนท์

ทุกครั้งที่เขากด “ส่ง”เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ “สร้างบางอย่าง”ถึงแม้ชื่อเขาจะไม่ได้อยู่บนโพสต์ เขาก็ยังยิ้ม…เพราะเขารู้ว่า
“นี่คือทีมของผม”
วันแรกที่เขาเห็นชื่อของตัวเองในไลฟ์ พี่นนท์พูดขึ้นกลางรายการ Zoom
“ใครที่ยังไม่มีทรัพย์ ลองดูน้องเบนซ์นะครับ เด็กคนนี้ไฟแรงมาก เก็บดีเทลเก่งสุดในทีมเลย วันก่อนเพิ่งได้บ้านหลังในเอกมัยเองกับมือเลยครับ”
ตอนนั้นเบนซ์แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาไม่เคยถูกชมในที่สาธารณะมาก่อนไม่เคยถูกเรียกชื่อพร้อมคำว่า “เก่ง”และไม่เคยคิดว่า “คนอย่างเขา”จะมีใครมองเห็น
หลังจากนั้นเขาทุ่มเต็มที่
ไม่มีคำว่าหยุด
ไม่มีคำว่าเหนื่อย
ไม่มีคำว่าขอส่วนแบ่งเพิ่ม
เขาส่งทรัพย์ให้พี่นนท์มากกว่าใครในทีม บางวัน 3 หลัง บางวัน 5 หลังถ่ายเอง วิ่งเอง ขอข้อมูลเองทุกครั้งจะปิดท้ายด้วย “ฝากพี่ดูต่อนะครับ ผมพร้อมวิ่งเสริม”

เบนซ์เคยคิดว่า ถ้าไม่มีเขาพี่นนท์อาจไม่ได้ทรัพย์พวกนี้แต่ในทางกลับกัน…เขาก็ไม่มีทางปิดเองได้เพราะลูกค้าระดับใหญ่ขนาดนั้นเขายังไม่มีในมือ

แล้วบ้านหลังนั้น...ก็มาถึง บ้าน 2 ชั้น ริมมุม ย่านรามอินทราเจ้าของเป็นญาติของเพื่อนแม่เบนซ์รู้ว่าทรัพย์นี้มีศักยภาพราคาต่ำกว่าตลาด เพราะเจ้าของอยากขายเร็วบ้านดูแลดี, หน้ากว้าง, เพดานสูงสวนติดมุมโครงการ

เขารีบถ่ายรูปเขียนคำอธิบายขอแปลน ขอสำเนาโฉนด (ที่ปิดชื่อไว้เรียบร้อย) และส่งให้พี่นนท์ในทันที
“พี่ครับ…หลังนี้ผมขอให้พี่ดูเองเลยนะ ผมมั่นใจว่าปิดได้เร็วแน่นอน”
สามวันผ่านไป พี่นนท์ยังไม่ตอบเบนซ์ไม่ถาม เพราะไม่อยากเร่งแต่ก็เข้าไปดูเพจทุกวัน…เพื่อรอจนวันหนึ่งเขาเจอโพสต์ที่ทำให้โลกเงียบลงทันที

บ้านหลังเดียวกัน ภาพเดียวกับที่เขาถ่ายCaption ที่คล้ายกับบรรทัดแรกที่เขาเขียนในโน้ตแต่...ไม่มีชื่อเขาไม่มีคำว่า “ทีม”ไม่มีแม้แต่ประโยคว่า “ได้รับจากน้องในทีม”
และที่เจ็บที่สุดคือ คำที่อยู่บรรทัดบนสุด…
“ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของ”
เบนซ์นั่งเงียบอยู่นานไม่ร้อง-ไม่ฟาด-ไม่โทร เขาแค่พิมพ์เบา ๆ
“พี่ครับ บ้านนี้ผมส่งให้พี่นะครับ…หรือพี่ได้มาจากที่อื่นด้วย?”

คำตอบที่ได้ คือ…
“พี่มีสิทธิ์จากเจ้าของโดยตรงนะเบนซ์ อาจจะเป็นหลังเดียวกันก็ได้”
อ่านจบ เบนซ์วางโทรศัพท์ลงลุกไปล้างหน้าที่อ่างหายใจลึก ๆไม่ใช่เพราะโกรธแต่เพราะไม่รู้จะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร “ผมเคยเชื่อว่า ถ้าผมดีต่อพี่ พี่ก็คงไม่ทำกับผมแบบนี้แต่วันนั้น…ผมไม่ได้เสียใจเพราะโดนเอาทรัพย์ไปผมเสียใจ...เพราะผมคิดว่าเรา ‘เป็นทีม’ จริง ๆ”

หลังจากคืนนั้น เบนซ์นอนไม่หลับไม่ใช่เพราะโมโหไม่ใช่เพราะอยากเอาคืนแต่เพราะเขา “ไม่แน่ใจ”
ใช่…มันคือรูปที่เขาถ่ายเองกับมือ
ใช่…มันเป็นบ้านที่เขาได้มา

แต่คำพูดของพี่นนท์ยังวนในหัวเขาไม่หยุด
“อาจจะเป็นหลังเดียวกันก็ได้ พี่ได้มาจากเจ้าของโดยตรง”
เบนซ์เริ่มถามตัวเองถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? ถ้าพี่นนท์ได้หลังนี้จากเจ้าของอีกช่องทางล่ะ? ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดของเขาเองล่ะ? เขาไม่อยากอยู่กับความคาใจ เพราะคาใจ…มันทำให้เขาไม่กล้ามองตัวเองในกระจก
เช้าวันนั้น เขากลับไปยืนหน้าบ้านหลังเดิมบ้านรามอินทราหลังมุมที่เขาเคยยืนถ่ายรูปเอง บ้านหลังที่เขาภูมิใจว่า “ได้มาด้วย connection”

เจ้าของยังจำเขาได้ผู้หญิงวัยกลางคน หน้าตาใจดีเดินออกมาทักเบนซ์ด้วยรอยยิ้ม
“น้องเบนซ์ใช่มั้ยลูก…ไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะ”
เบนซ์ยกมือไหว้ แล้วสูดหายใจลึก
“ขอโทษนะครับพี่ ผมรบกวนถามตรง ๆ ได้มั้ยครับ…”

เจ้าของพยักหน้าเขาถามช้า ๆ ชัด ๆ
“พี่ให้สิทธิ์ใครขายบ้านอีกหรือเปล่าครับ...นอกจากผม?”

เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามนึกก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เลยนะ…พี่ให้แค่ผมคนเดียว พี่ยังไม่อยากโพสต์ขายที่ไหนด้วยซ้ำ”
เบนซ์เม้มปากรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างร่วงวูบลงกลางอกเขาลองถามอีกครั้ง

“แล้วรู้จักชื่อ ‘นนท์’ มั้ยครับ?”
เจ้าของทำหน้าสงสัย
“ใครนะ?...ไม่คุ้นเลย”

เบนซ์ยิ้มยิ้มแบบที่แววตามันไม่ได้ยิ้มด้วยก่อนจะบอกเบา ๆ ว่า
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับพี่”

เขากลับมานั่งมองโพสต์ของพี่นนท์อีกครั้ง ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ความเจ็บมันคือความเสียใจที่ลึกกว่าเดิมเพราะตอนแรก เขายังเชื่อว่า
“อาจจะมีความจริงอีกด้านที่เขาไม่รู้”

แต่วันนี้เขาแน่ใจแล้วว่าความจริงอีกด้าน…ไม่มีมันมีแค่ความเงียบที่พี่นนท์เลือกจะใช้…แทนคำขอโทษ
“ผมไม่ได้เสียศรัทธาแค่กับพี่นนท์ผมเสียศรัทธากับตัวเอง... ที่เคยคิดว่า ถ้ารักใครมากพอ เขาจะไม่หลอกเรา”
หลังจากกลับจากบ้านหลังนั้นเบนซ์เดินเรื่อย ๆ อยู่ข้างถนนไม่รีบกลับไม่รับโทรศัพท์ไม่ตอบแชทในกลุ่มนายหน้า

เขาเดินอยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง ก่อนจะนั่งลงใต้ต้นไม้ข้างเซเว่นล้วงกระเป๋าเจอธนบัตรยับ ๆ ร้อยเดียว ซื้อน้ำเปล่าหนึ่งขวด นั่งจิบเหมือนคนเมา ทั้งที่แค่น้ำเปล่า...แต่มันก็ขมจนกลืนไม่ลง

เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้คิดจะแฉ ไม่ได้คิดแม้แต่จะส่งแชทให้ใครดูสิ่งเดียวที่วนอยู่ในหัวคือคำว่า

“แล้วที่ผ่านมา...เค้าเห็นเราเป็นอะไร?”

เขาไม่ได้คิดว่าพี่นนท์จะรักเขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายต้องตอบแทนทุกอย่างแต่เขาคิดว่า “ความไว้ใจ” มันน่าจะมีค่าอะไรสักอย่าง
“หรือจริง ๆ แล้ว ผมมันก็แค่ ‘เด็กวิ่งงาน’ที่เขาใช้เป็นหมาล่าเนื้อ พอได้ทุกอย่างแล้ว...ก็เก็บไว้คนเดียว”
เบนซ์กลับถึงห้องดึกกว่าทุกวัน ไม่เปิดไฟแสงจากโทรศัพท์ ยังเปิดโพสต์ของพี่นนท์ค้างอยู่ บ้านหลังเดิม, แคปชั่นเดิม, ยอดไลก์ยังขึ้น มีคนนอกวงการคอมเมนต์ว่า

“พี่นนท์คือไอดอลผมเลยครับ”

เขาไม่ได้อิจฉาไม่ได้อยากแย่งแสง แค่รู้สึกว่า…
“โลกข้างนอกยังเห็นเขาเป็นพระเอก แต่ในเรื่องของผม...เขาคือตัวร้าย”
คืนนั้นเบนซ์ลบทุกโพสต์เก่า ลบทุกข้อความที่เคยแท็กชื่อพี่นนท์ ลบสติ๊กเกอร์ทีม ลบโลโก้จากรูปโปรไฟล์ เหมือนพยายามล้างอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเอง
เขารู้ว่ามันไม่ได้ลบความทรงจำ แต่มันเป็นการบอกตัวเองว่า

“ต่อจากนี้…พอแล้ว”
วันรุ่งขึ้น เบนซ์ไปโพสต์ทรัพย์เองครั้งแรก บ้านไม่หรูถ่ายรูปไม่สวยเท่าแคปชั่นก็ไม่ได้คมแต่เขาใส่ประโยคท้ายว่า

“บ้านหลังนี้...เจ้าของให้สิทธิ์ผมดูแลด้วยตัวเอง”
โพสต์นั้นไม่มีใครแชร์
ไม่มีใครไลก์
ไม่มีใครทักมาขอ Co

แต่เบนซ์ยิ้มเพราะครั้งนี้ เขารู้ว่าเขา “ไม่ได้โกหกใคร”
“ผมกลับมาเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เริ่มนับหนึ่งใหม่…โดยไม่ต้องอาศัยชื่อใครและผมจะไม่ยอมให้ใครเอาชื่อผม...ไปใช้เป็นเครื่องมือโกหกคนอื่นอีก”
นี่คืออีกมุมนึงที่เล่าผ่านอดีตคนเคยร่วมทีมของนนท์ความเสียหายครั้งนี้อาจจะยังไม่ถูกตีเป็นมูลค่าแต่ความเสียหายทางจิตใจของเด็กคนนึงนั้นไม่สามารถดึงกลับมาได้อีกต่อไปเรื่องราวของนนท์จะเป็นไปอย่างไรต่อไป

ติดตามต่อที่ EP. 7 (3/4)

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ดูหัวข้ออื่นเพิ่มเติม